ฟังอาหารในดนตรี (2)
เมื่องานครัวกลายเป็นงานดนตรี

เครื่องดนตรีจากเครื่องครัว

ทุกวันนี้ การนำเครื่องครัวมาเล่นดนตรีนั้นเราเห็นกันเป็นเรื่องปรกติ ตามคลาสเรียนดนตรีเด็กหรือตามคลิปออนไลน์ต่าง ๆ เราเห็นการนำเครื่องครัว (รวมไปถึงอุปกรณ์งานบ้านงานเรือนอื่น ๆ) มาสร้างจังหวะดั่งการตีเกราะเคาะไม้แบบโบราณ

ซึ่งเมื่อพูดถึงการตีเกราะเคาะไม้ ก็เป็นไปได้สูงทีเดียวว่าตั้งแต่อดีตกาลนานโพ้นเท่าอายุกำเนิดดนตรีโดยฝีมือมนุษย์ การนำ อุปกรณ์ทำอาหารในยุคบรรพกาลมาเคาะ ๆ ตี ๆ ให้เกิดเสียงเป็นดนตรีคงต้องมีอยู่เป็นแน่ อย่างน้อยที่สุด อุปกรณ์การกินที่กลายร่างมาเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้กันแพร่หลายในหลายวัฒนธรรมก็คือ “Spoons” หรือช้อนคู่ประกบ ดังที่จะเห็นได้ทั่วไปในดนตรีพื้นบ้านไอร์แลนด์ หรือ เครื่องดนตรี โคทาลาเกีย (κουταλάκια/koutalakia) ของกรีก, ลอชกี (Ло́жки/lozhki) ของรัสเซีย, คาชิกลาร์ (kaşıklar) ของตุรกี ไล่ไปจนถึงที่เห็นได้บ้างในดนตรีอเมริกันอย่างวงประเภท Jug Band ยุคเริ่มแรก

lozhki ของรัสเซีย

ส่วนทางฝั่งเครื่องจำพวกภาชนะนั้น นอกจาก “เหยือก” (หรือ “Jug” ที่เป็นทรงคล้ายขวดโหล มีหู และปากทรงท่อ เล่นด้วยการบีบริมฝีปากแล้วเป่าลมลงไป) ของวง Jug Band ที่กล่าวถึงไปข้างต้นแล้ว ก็มีตัวอย่างอีกเช่น “พิณแก้ว” (Glass Harp) ที่เป็นการนำเอาแก้วจำพวกแก้วไวน์หลายทรงหลายขนาด มาเติมน้ำเข้าไปในระดับต่าง ๆ กัน ซึ่งก็ทำให้เมื่อบรรเลงแล้วเกิดระดับเสียงต่าง ๆ กันได้ด้วย มีบันทึกพบเครื่องดนตรีทำด้วยแก้วน้ำยุคแรก ๆ ในเปอร์เซียตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 ซึ่งต่อมาในปี 1741 นายริชาร์ด พอคคริช (Richard Pockrich, 1695-1759) ชาวไอร์แลนด์ ได้ประดิษฐ์พิณแก้วขึ้นมา โดยในสมัยแรกบรรเลงโดยการใช้ไม้เคาะ ต่อมามีการบรรเลงโดยการให้ผู้เล่นนำนิ้วตัวเองไปชุบน้ำให้เปียกแล้วถูขอบแก้วจนมีเสียงโน้ตออกมา เมื่อมีแก้วหลายใบ ผู้เล่นจึงสามารถสร้างทำนองและเสียงประสานได้

พิณแก้ว

จนเมื่อมาถึงโลกสมัยใหม่ การเกิดขึ้นของเครื่องดนตรีอย่าง “สตีลแพน” (Steelpan) จากประเทศตรินิแดดและโตเบโก น่าจะเรียกได้ว่าเป็นวิวัฒนาการอันสำคัญของการนำสรรพสิ่งมาเคาะ สตีลแพนนี้มีจุดเริ่มต้นจากดนตรีของอดีตทาสอาฟริกันในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ที่ใช้ท่อไม้ไผ่มาเป็นเครื่องเคาะเรียกว่า Tamboo Bamboo (ซึ่งนำมาแทนที่กลองอาฟริกันที่ถูกแบนโดยเจ้าอาณานิคม) แล้วภายหลังเริ่มมีการนำกระป๋อง ถังขยะ กระทะ ขวดเหล้า เครื่องขูดผักผลไม้ (grater) และขยะโลหะต่าง ๆ มาร่วมใช้ในการเล่นดนตรี จนต่อมานำมาซึ่งการประดิษฐ์ สตีลแพน ที่ใช้วัสดุจำพวกถังโลหะขนาดใหญ่มาทุบจนเกิดหลุมขนาดต่าง ๆ บนผิวหน้า ซึ่งเมื่อตีลงไปแล้วเกิดเป็นระดับเสียงต่าง ๆ สามารถเล่นเป็นทำนองและเสียงประสานได้ (ปัจจุบัน ถือกันว่า สตีลแพน เป็นเครื่องดนตรีประจำชาติของตรินิแดดและโตเบโก ซึ่งมีจุดกำเนิดและบทบาทสำคัญในช่วงต่อต้านเจ้าอาณานิคม)

สตีลแพน

ในสมัยศตวรรษที่ 20 จินตนาการและเทคโนโลยี ก็ทำให้เรานำเอาตัวเครื่องครัวและเสียงอันเกิดจากเครื่องครัว (เลยเถิดไปถึงสิ่งอื่นในครัว เช่น เครื่องปรุง) มาเป็นส่วนหนึ่งของดนตรีและการแสดงดนตรี ทั้งการแสดงดนตรีในความหมายตรงและการแสดงดนตรีที่ก้าวข้ามพ้นขอบเขตนิยามแบบดั้งเดิม ดังเช่นตัวอย่างที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้

เสียงเพลงจากเครื่องปรุงและวัตถุดิบ

เครื่องครัวทำให้เกิดเสียงได้ ซึ่งเมื่อนำเสียงมาเรียงและควบคุมแล้วก็เกิดเป็นดนตรีได้ ส่วนวัตถุดิบทำอาหารนั้น ถ้าเป็นของแข็งที่นำมาทุบ ๆ เคาะ ๆ ได้ ทำไมเล่าจะเอามาสร้างดนตรีไม่ได้ ยิ่งถ้านำมาเจาะรูแล้วเป่ามีเสียงได้ ยิ่งทำเป็นเครื่องดนตรีได้อย่างจริงจัง

การนำวัสดุมาเจาะรูแล้วเป่ามีเสียงนี้พบได้ในเครื่องดนตรีที่มีประวัติเก่าแก่ยาวนานอย่าง โอคารินา (ocarina) ที่ถูกพบในหลากหลายรูปแบบ มีทั้งที่ทำจากเซรามิกไปจนถึงกระดูกสัตว์ เป็นเครื่องดนตรีที่ถูกพบในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีนและเมโสอเมริกา มีการพบโอคารินาที่ทำมาจากไข่นก (ว่ากันว่าเป็นงานประดิษฐ์ของ Zhu Caiyu, 1536-1611) นอกจากนี้ก็ยังมีโอคารินาในอาฟริกาที่ทำมาจากเปลือกมะพร้าวด้วย ซึ่งการนำเปลือกแข็งมาเจาะรูนี้เราก็ยังพบในนกหวีด (whistle) ในเปรูที่ทำจากเปลือกถั่ว

โอคารินา

การนำเอาพืชผักมาทำเป็นเครื่องดนตรีจนสามารถเล่นบทเพลงได้จริงจังน่าจะเรียกได้ว่าพัฒนาถึงขีดสุดในมือของวง Vienna Vegetable Orchestra (ก่อตั้งปี 1998) ซึ่งนอกจากจะนำพืชผักมา “ทำ” เครื่องดนตรี เช่นเจาะแครอตทำเป็นขลุ่ยแล้ว ก็ยังเอาผักมา “ใช้” ทำเสียงดนตรีด้วย เช่นเอาใบผักมาถูกัน เป็นต้น วิธีการบรรเลงดนตรีของวงดนตรีวงนี้มีหลากหลายมาก ตั้งแต่บรรเลงเพลงปกติไปจนถึงการนำเครื่องมือ อุปกรณ์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วม

Vienna Vegetable Orchestra

ส่วนในโลกของดนตรีทดลอง (Experimental Music) เดวิด ทิวดอร์ (David Tudor, 1926-1996) ผู้นอกจากจะเป็นนักดนตรีแนวทดลองและนักเปียโนแล้ว ก็ยังเป็นนักกินและชอบสะสมเครื่องเทศด้วย เขาเคย “prepare” (การดัดแปลงเสียงเปียโนด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ นำวัตถุมาวางบนสายเปียโน) เปียโนด้วยเครื่องเทศอาทิ เมล็ดมัสตาร์ด กระเทียม อบเชย

Incidental Music ของ George Brecht

ซึ่งเมื่อพูดถึงการกระทำอาการแปลก ๆ ใส่เปียโนด้วยเครื่องปรุงนี้ ก็อดพูดถึงงานอีกชิ้นไม่ได้ ซึ่งก็คือ Incidental Music (1961) ของ จอร์จ เบรคท์ (George Brecht, 1926-2008) ที่หนึ่งในขั้นตอนการบรรเลงคือ ปล่อยถั่วแห้งสามเมล็ดทีละเมล็ดลงบนแป้นคีย์บอร์ดเปียโน แล้วทำเอาเทปกาวมาติดเมล็ดเข้ากับแป้น ส่วนจะเกิดเสียงใด ๆ หรือไม่ นั้นปล่อยไปตามใจของลมฟ้าเทวดาล้วน ๆ

เสียงเครื่องครัวในโลกดนตรีไฟฟ้า

ในการนำเสียงต่าง ๆ ที่ไม่ใช่เสียงดนตรีมาสร้างเป็นเพลงนั้น ในศตวรรษที่ 20 เมื่อเทคโนโลยีพัฒนา เสียงเหล่านั้นก็ถูกจัดการในรูปแบบใหม่ ในช่วงทศวรรษ 1940 ปิแอร์ เชเฟอร์ (Pierre Schaeffer, 1910-95) นักแต่งเพลงชาวฝรั่งเศสได้สร้างดนตรีรูปแบบใหม่ เรียกว่า “มูซีค คองแครต” (Musique concrète) ซึ่งเป็นการบันทึกเสียงอะไรก็ได้ (อาทิ ในงานชิ้นแรกของเขาคือเสียงรถไฟและเสียงแวดล้อม) แล้วนำมาหั่น ตัด ปะ ในลักษณะคล้ายการทำงานคอลลาจ จนกลายมาเป็นประหนึ่งบทประพันธ์ดนตรี ซึ่งการจัดการกับ “เสียงอะไรก็ได้” ในแบบที่ว่านี้ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่คล้องจองกับการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางดนตรีแบบที่ ลุยจี รุ สโซโล ได้เบิกทางไว้ (อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับขบวนการอนาคตนิยมได้ในบทความตอนที่แล้ว) ซึ่งแน่นอนว่า เสียงเครื่องครัวหรือเสียงทำครัวนี้ก็กลายมาเป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำหรับการสร้างบทเพลง

การใช้เสียงอะไรก็ได้นี้เรียกได้ว่ากลายมาเป็นรากฐานอันใหม่ให้กับนักแต่งเพลงสมัยใหม่ที่สลัดตัวเองออกจากกรอบเดิมของดนตรีที่มีเพียงตัวโน้ตโดเรมีไปได้ ยิ่งพัฒนาการของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ (ดนตรีที่อาศัยเสียงจากคอมพิวเตอร์ เครื่องดนตรีไฟฟ้า และเทคโนโลยีเสียงต่าง ๆ) มีมากขึ้น การจัดการหรือสร้างเสียงก็สามารถเกิดขึ้นได้แทบจะตามจินตนาการของศิลปิน

ในงานของ ชต็อคเฮาเซน (Karlheinz Stockhausen, 1928-2007) คือ Mikrophonie I (1964) นั้นเป็นการนำสารพัดของจากในครัวและในบ้านมาใช้เป็นอุปกรณ์กระทบกระแทกเบียดถูกับเครื่องดนตรี แทมแทม (Tamtam) โดยมีไมโครโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการจัดการกับเสียง

เพลง Table’s Clear

ตัวอย่างของงานอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เสียงเครื่องครัวมาตัดต่อนั้นก็มีเช่น เพลง Table’s Clear (1990) ของ พอล แลนสกี (Paul Lansky, b.1944) ที่อัดเสียงเสียงอุปกรณ์ต่าง ๆ จากในครัว แล้วนำมาผ่านกระบวนและตัดต่อเป็นเพลง

เพลง Table’s Clear

ส่วนใน Cats in the Kitchen (2007) ของ ฟิลลิป บิมสไตน์ (Phillip Bimstein, b.1947) นั้นเป็นเพลงประพันธ์ขึ้นบรรเลงโดย ฟลุต โอโบ และเสียงอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นเสียงแมว เสียงเคี้ยวอาหาร และเสียงทำครัวต่าง ๆ อาทิ เสียงตอกไข่ หั่นหัวหอม กระทะร้อน เครื่องบดพริกไทย และสารพัดสรรพสิ่งในครัว

การแสดงแห่งการครัว

ดังที่กล่าวมาข้างต้นถึงการสร้างเสียงดนตรีด้วยเครื่องครัว หรือการแปลงเครื่องครัวและวัตถุดิบเป็นเครื่องดนตรี ซึ่งเมื่อนำมาผสมกับอากัปอาการของการทำอาหารที่ต้องแฝงจังหวะจะโคนดั่งการรำที่ร่ายไปตามจังหวะของไฟ ของไอร้อนของโมเลกุลอาหารที่กระทบกระแทกกัน จังหวะในแบบที่เมื่อเสริมใส่ลีลาเพิ่มเติมลงไปแล้วก็อาจมีความงามในเชิงสุนทรียะแก่ผู้พบเห็นนั้น การทำอาหารก็กลายร่างเป็นศิลปะการแสดง (performance art) ที่หลอมรวมทั้งภาพและเสียงไปได้นั่นเอง

ตัวอย่างงาน performance art ในแบบขนบนิยม ที่หลอมรวมการระบำ ดนตรีและครัวเข้าด้วยกัน ได้แก่ บัลเล่ต์ La Revue de Cuisine (1927) ที่ประพันธ์ดนตรีโดยคีตกวีเพลงคลาสสิกชาวเชค โบฮุสลาฟ มาร์ตินู (Bohuslav Martinů, 1890-1959) ซึ่งเนื้อเรื่องเป็นเรื่องอลวนอลหม่านของบรรดาตัวละครทั้งหลายที่เป็นเครื่องครัว ตัวแสดงมีทั้ง หม้อ ผ้าเช็ดโต๊ะ ไม้กวาด ฝาหม้อ ไม้กวาด และผสมสำเนียงดนตรีแจ๊ซ (ซึ่งเป็นเทรนด์ที่นักแต่งเพลงคลาสสิกหลายคนเริ่มให้ความสนใจในช่วงทศวรรษ 1920) และดนตรีเต้นรำที่เป็นที่นิยมอย่างแทงโก้และชาร์ลสตัน

[ทั้งนี้ การใช้ตัวแสดงเป็นเครื่องครัวนี้อาจทำให้หลายๆ คน (รวมทั้งตัวผู้เขียนเอง) นึกถึงส่วนสำคัญในเนื้อเรื่องภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Beauty and the Beast ที่ซึ่งในปราสาทของเจ้าชายอสูรนั้น นางเอก เบลล์ (Belle) ได้พบว่าเครื่องครัวเครื่องใช้ในปราสาทนั้นมีชีวิต ซึ่งอันที่จริงตัวละครเครื่องครัวแบบนี้เราสามารถมองหาจุดเริ่มต้นที่เก่ากว่านั้นได้ในงานแสดงละครใบ้ (pantomime) ของ โจเซฟ กริมัลดี (Josseph Grimaldi, 1778-1837)]
การแสดง La Revue de Cuisine ฉบับคอนเสิร์ต

การแสดงที่ผสมละครใบ้ การเต้นรำ และการนำเอาเครื่องครัวมาใช้สร้างเพลงได้จริง ๆ นั้นมีปรากฏในโชว์รายการหนึ่งของประเทศเกาหลีที่โด่งดังไปทั่วโลก ชื่อนันทา (난타) ซึ่งในบางส่วนของการแสดง ผู้แสดงหลักสี่คนใช้อุปกรณ์ครัวมาตีเป็นจังหวะ ซึ่งเป็นลักษณะการบรรเลงกลองแบบที่เลียนสำเนียงดนตรีพื้นบ้านเกาหลีที่เรียกว่า ซามุลโนรี (사물놀이) รวมไปถึงการแสดงละครใบ้ การแสดงกึ่งกายกรรม และการแสดงอื่น ๆ ที่เป็นการทำอาหารอย่างมีจังหวะจะโคนจนประหนึ่งกลายเป็นเสียงดนตรี

การแสดง Nanta Show

ส่วนทางฝั่งฝรั่ง การนำเอาสารพัดสิ่งมาเคาะจังหวะผสมกับการแสดงลีลา ละครใบ้ กายกรรม และการเต้นรำ มาผสมกันอย่างจริงจังได้แก่งานของวง STOMP จากประเทศอังกฤษ ซึ่งวิดีโอชุด Stomp Out Loud (1997) นั้น มีฉากในครัวที่แสดงถึงการเคาะตีเครื่องครัว และการทำงานในครัวอื่น ๆ ตั้งแต่การทำอาหารไปจนถึงการทำความสะอาดที่รวมออกมาแล้วกลายเป็นเพลง

ฉากครัวจาก Stomp Out Loud

ส่วนการแสดงที่เลยไกลไปกว่าการสร้างเสียงดนตรีหรือลีลาร่างกายใด ๆ แต่ยังคงเกี่ยวข้องกับอาหารนั้น สามารถพบเห็นได้ในงานของกลุ่มศิลปินฟลักซัส (Fluxus) ที่ทำงานแสดงสาย “ทดลอง” (experimental) และให้ความสนใจกับตัว “กระบวนการ” สร้างงาน (อันที่จริง จอร์จ เบรคท์ ที่ได้กล่าวถึงไปเมื่อข้างต้นแล้วก็เป็นศิลปินฟลักซัสเช่นกัน)

งานของฟลักซัสนั้นพร่าเลือนอยู่ท่ามกลางเส้นแบ่งของนิยามงานศิลปะ ผสมผสานงานโสตศิลป์ ทัศนศิลป์ นาฏศิลป์ ศิลปะเชิงแนวคิด และสื่อหลากรูป รวม ๆ กัน กลายเป็นงานที่แม้จะมีการกำหนดเงื่อนไขและวิธีการแสดงต่าง ๆ เช่นที่เราเห็นในสกอร์เพลง แต่ตัวการแสดงนั้น ไม่ได้เน้นที่การจัดการหรือควบคุมเสียงตามขนบเดิมต่อไป

ในงานของ อลิสัน โนว์ลส์ อย่าง Make a Salad (1962) นั้น คือการนำผักจำนวนมากมาหั่น และให้ผู้ “ทำ” สลัด ขึ้นไปยืนบนระเบียงชั้นบน มีผ้าผืนใหญ่รองลงอยู่ที่ชั้นล่าง แล้วคนชั้นบนจะเทบรรดาผักที่หั้นแล้วลงมา ตามด้วยน้ำสลัด เป็นการทำสลัดจานยักษ์ จากนั้นจึงแจกจ่ายให้กับผู้เข้าร่วมชมได้ชิม

Make a Salad ปี 2008 ที่ Tate Modern

ซึ่งบางงานของ อลิสัน นั้นก็พร่าเลือนจนถึงจุดที่เราไม่สามารถแยกได้อีกต่อไปว่าเป็น “งานแสดง” หรือไม่ อย่างเช่นในงาน Identical Lunch (1969) ซึ่งบันทึกขั้นตอน “การแสดง” (หรือ “การกระทำ”) ของงานนี้มีอยู่ว่า “กินแซนด์วิชทูน่าที่ใช้ขนมปังโฮลวีตปิ้ง ใส่ผักกาด เนย ไม่มีมายองเนส เสิร์ฟคู่กับซุปบัตเตอร์มิลค์ กินอย่างนี้หลายวันในแต่ละสัปดาห์ กินที่เดิมเวลาเดิม” (เรื่องราวที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ใน Journal of Identical Lunch, 1970)

อลิสัน โนว์ลส์อธิบายประวัติและแนวคิดของ Identical Lunch

ซึ่งในช่วงเวลาไล่เลี่ย Identical Lunch นักแต่งเพลง อัลวิน เคอรัน (Alvin Curran, b.1938) ได้สร้างงานแนวทดลองชื่อ Last Thoughts on Soup (1969) โดยในคำอธิบาย “การแสดง” นั้นอธิบายว่า ซุปก็คือการใส่สรรพสิ่งลงไป (คล้ายว่าก็คือจับฉ่ายนั่นเอง) แล้วเปรียบห้องใหญ่หนึ่งห้องว่าเป็นประหนึ่งหม้อซุป ให้มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องดนตรี และสิ่งของต่าง ๆ (ตั้งแต่เครื่องเคาะตี และสิ่งละอันพันละน้อยตั้งแต่นกหวีดตำรวจไปจนถึงเสาโทรทัศน์!) แล้วก็ให้นักดนตรีและคนดูเข้ามาอยู่ในห้อง เมื่อเวลาผ่านไป ให้คนดูค่อย ๆ เข้ามาผสมกับผู้เล่นและของต่าง ๆ จนทุกสิ่งเคี่ยวรวมกันสักสองสามชั่วโมงจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน

“สูตร” ทำ Last Thoughts on Soup

ทั้งหมดทั้งปวงนี้ เราเห็นได้ว่าภายใต้ฝีไม้ลายมือและจินตนาการของมนุษย์ เครื่องครัว อาหาร และการกิน นั้นได้ถูกพาข้ามพ้นโลกแห่งรสชาติและความอิ่มท้องไปแล้ว จนกลายเป็นดนตรี ศิลปะ และการแสดงที่ตั้งอยู่บนพรมแดนอันพร่าเลือนของนิยามต่าง ๆ และเป็นที่น่าสนใจว่าในอนาคตต่อไปอีกยาวนาน มันจะกลายเป็นอะไรได้อีกบ้าง


อ้างอิง/อ่านเพิ่มเติม

Tina Frühaus, Food and Music (ใน Music in American Life: An Encyclopedia of the Songs, Styles, Stars, and Stories That Shaped Our Culture)

Jason James Hansley: Metal Machine Music: Technology, Noise, and Modernism in Industrial Music 1975-1996 (วิทยานิพนธ์)

Douglas Kahn, The Latest: Fluxus and Music (ใน Sound, ed. Caleb Kelly)

Alison Knowles, Journal of the Identical Lunch

Bohuslav Martinů (ed. Christopher Hogwood), La Revue de Cuisine: Ballet our six instruments (สกอร์เพลง)

https://www.musicradar.com/news/everything-you-need-to-know-about-musique-concrete

https://www.bbc.com/news/magazine-18903131

https://acousticmusic.org/research/history/musical-styles-and-venues-in-america/jug-bands/

http://www.tinytappingtoes.com/family-fun-2/playing-the-spoons-as-an-instrument-in-russia/

http://www.antiquealive.com/Blogs/Samulnori_Korean_Percussion_Quartet_Music.html

https://www.aknowles.com/

http://www.alvincurran.com/

http://paul.mycpanel.princeton.edu/liner_notes/homebrew.html


You May Also Like
Read More

Marmalade

ถ้าพูดถึงคำว่า ‘มาร์มาเลด’ ขึ้นมาในตอนนี้ คนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกภาพแยมส้ม หรือแยมเปลือกส้มขึ้นมา โดยอัตโนมัติ เรียกได้ว่าคำว่า ‘มาร์มาเลด’ ที่แปลว่า ‘แยมส้ม’ นั้นกลายเป็นภาพจำและนิยามของคนปัจจุบันไปแล้ว หากแต่ว่าแยมส้มนั้นเรียกได้ว่าเป็น ‘ร่างแปลง’ ของมาร์มาเลด ที่ถูกแปลงร่างเปลี่ยนความหมายไปจนมีความหมายที่แตกต่างจนสิ้นเค้าเดิม
Read More
Read More

Shio Ramen

ชินโด ราเมง เป็นร้านที่ตั้งอยู่ระหว่างอาคารพาณิชย์สีเหลืองอ่อนในตรอกเล็กๆ ตรงข้ามกับโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ หากคุณโชคดีก็จะมีคนหนึ่งหรือสองคน ยืนต่อแถวข้างหน้าคุณ แต่หากโชคร้ายแถวนั้นอาจยาวเสียจนคุณไม่มั่นใจว่าท้องจะสามารถอดทนรอให้ลิ้นของคุณรับรสอันลึกล้ำได้หรือเปล่า เพราะว่ามันอาจส่งเสียงโวยวายเสียงดังเสียจนคนข้างๆ คุณต้องเหลียวหลังมามอง
Read More
Jellied Eels
Read More

Jellied Eels

รสชาติของอังกฤษคืออะไร? หากไม่นับฟิชแอนด์ชิปส์ (Fish and Chips) พายเนื้อ (Meat Pie) ยอร์กเชอร์พุดดิ้ง (Yorkshire Pudding) ที่ยังได้รับความนิยมอย่างเหนียวแน่นถึงปัจจุบัน ยังมีอาหารชนิดหนึ่งที่เคยเป็นตัวแทนของรสชาติแบบอังกฤษ ที่กำลังจะเลือนหายไปในปัจจุบัน อาหารที่ว่านั้นคือ เยลลีปลาไหล (Jellied Eels)
Read More
Read More

Culinary Triangle

“การใช้ไฟปรุงอาหารคือนวัตกรรมที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นมนุษย์เช่นทุกวันนี้” โคลด เลวี-สโตรส (Claude Lévi-Strauss) เป็นหนึ่งในนักมานุษยวิทยาคนสำคัญที่อายุยืนที่สุดในโลก แม้ชื่อของเขามักจะถูกนำไปจำสลับกับกางเกงยีนส์ยี่ห้อดัง แต่สำหรับโลกวิชาการแล้วนั้น เขาคือแบรนด์ทางความคิดที่แข็งแรงและคงอยู่ข้ามศตวรรษ
Read More
Read More

Culinary Revolution

การกำเนิดขึ้นของแท่นพิมพ์ ดินปืน และเข็มทิศในช่วงศตวรรษที่ 14-15 ได้นำพาความเปลี่ยนหลายอย่างมาสู่โลกของอาหาร เริ่มจากเครื่องเทศ และวัตถุดิบจากแดนไกลไม่ว่าจะเป็นอัฟริกา อินเดีย ละตินอเมริกาได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมอาหาร ถัดจากนั้นวิทยาการด้านการพิมพ์ทำให้ตำรับตำราอาหารเผยแพร่องค์ความรู้ในเรื่องการปรุงและการทำไปทั่วทั้งยุโรป และที่สุดตำแหน่งพ่อครัวที่ไม่เคยมีบทบาทอะไร กลับเริ่มโดดเด่นขึ้นในฐานะของศิลปินผู้สร้างสรรค์จานอาหาร หนึ่งในนั้นได้แก่ มาเอสโตร มาร์ติโนแห่งโคโม (Maestro Martino of Como) พ่อครัวที่เคยทำงานในราชสำนักแห่งมิลาน ผู้เขียน Libro de arte coquinara (Book of the Art of Cooking)
Read More
Read More

Maillard Reaction

“การทำอาหารคือวิทยาศาสตร์” นี่เป็นแนวคิดหนึ่งที่แพร่หลายในแวดวงอาหารในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทว่าการค้นพบแนวคิดทฤษฎีสำคัญโดยมากนั้นมักไม่ค่อยถูกยอมรับในทันที อย่างผลงานของ Nicolaus Copernicus ที่เสนอว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลก็ต้องใช้เวลาเนิ่นนานนับเป็นร้อยปี กว่าจะเป็นที่ยอมรับในหมู่นักดาราศาสตร์และฟิสิกส์ จึงไม่แปลกอะไรที่นักเคมีและนายแพทย์ชาวฝรั่งเศส Camille-Louis Maillard จากเมืองน็องซี (Nancy) ผู้ค้นพบปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นระหว่างอนุภาคน้ำตาลกับสารประกอบโปรตีนขณะได้รับความร้อน และได้เสนอความคิดนี้ต่อหน้าผู้ทรงคุณวุฒิในปี 1912 ก็มิวายถูกมองเป็นเพียงรายงานวิจัยธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่งเท่านั้น
Read More