Solo Dining: อร่อยอย่างเดียวดาย
ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ผู้เขียนแทบไม่เคยกินอาหารคนเดียว ไม่ว่าจะในมื้อเช้า กลางวัน หรือเย็นที่เป็นเวลาสงวนสำหรับคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง และมิตรสหาย จวบจนไม่กี่ปีมานี้ที่ภาระหน้าที่และวิถีชีวิตที่แปลงเปลี่ยนไปทำให้ต้องเริ่มรับประทานอาหารคนเดียวบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร การออกไปนั่งตามร้านรวงต่างๆ รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นความเคยชินของตนเองไปแล้ว และจากนั้นผู้เขียนจึงได้เริ่มสังเกตว่า คนที่นั่งรับประทานอาหารคนเดียวมีมากขึ้น และอาจมากกว่าที่มาเป็นคู่ หรือเป็นกลุ่มเสียด้วยซ้ำไป
ผู้เขียนจึงได้เริ่มต้นสืบค้นข้อมูล และตามอ่านผลงานที่กล่าวถึงพฤติกรรมการกินคนเดียว (Solo Dining) ซึ่งพบว่ามีข้อเขียนรอบๆ ราวๆ ประเด็นนี้อยู่ไม่น้อยเลยโดยงานวิจัยจำนวนมากได้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นของพฤติกรรมการกินอาหารคนเดียว
เช่นนับจากปี ค.ศ. 2014 เป็นต้นมา ในสหราชอาณาจักรยอดของการจองที่นั่งสำหรับรับประทานคนเดียวเพิ่มขึ้น 160% และผลสำรวจ Living Well Index ซึ่งจัดทำโดยซูเปอร์มาร์เก็ต The Sainsbury ร่วมกับ Oxford Economics ระบุว่า 1 ใน 3 ของประชากรผู้ใหญ่ชาวอังกฤษต้องรับประทานอาหารคนเดียวแทบตลอดเวลา ส่งผลให้ร้านอาหารจำนวนมากต้องปรับปรุงพื้นที่ในการรับประทานอาหาร และ Tesco ได้ลดขนาดอาหารสำเร็จรูปหลายชนิดลงลงให้เหมาะกับการบริโภคคนเดียว ภาวะการณ์ในสหราชอาณาจักรสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของลูกค้าทั้งในแบบที่ใช้บริการร้านอาหารทั้งในแบบที่เป็นคู่และกลุ่มว่ามีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง
ในออสเตรเลีย The Fork (หรือในชื่อเดิม Dimmi) เว็บไซต์และแอพลิเคชั่นจองร้านอาหารออนไลน์มียอดการจองโต๊ะสำหรับคนเดียวเพิ่มขึ้น 27% ระหว่างปี 2017 และ 2018
ในนครนิวยอร์ก (ตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมานับจากปี 2020) มีลูกค้าที่รับประทานคนเดียวสูงถึง 35% มากกว่าลูกค้าที่มาเป็นกลุ่มหรือเป็นคู่ที่คิดเป็น 27% หรือในปี 2019 (ก่อนสถานการณ์โควิด 19) กล่าวได้ว่าสหรัฐอเมริกามีอัตราการจองโต๊ะสำหรับคนเดียวเพิ่มมากขึ้นถึง 62%
แน่นอนว่างานวิจัยเกือบทั้งหมดชี้ว่าแนวโน้มดังกล่าวสัมพันธ์กับโครงสร้างทางสังคม หรืออัตราการขยายตัวของประชากรที่อาศัยอยู่เพียงคนเดียว (ทั้งจากการแต่งงานช้า และปัญหาหย่าร้าง) เพิ่มมากขึ้นโดยลำดับ เช่นในปี 2019 สหรัฐอเมริกามีคนที่อาศัยอยู่เพียงคนเดียวมากถึง 28.4% ซึ่งเมื่อเปรียบกับปี 1969 แล้ว กลับมีประชากรที่อยู่คนเดียวมีเพียง 16.7% เท่านั้น
การกินอาหารโดยลำพังจึงเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ หรือได้กลายเป็นข้อเท็จจริงทางสังคมไปในที่สุด ซึ่งในหลายกรณีก็ได้ถูกเน้นย้ำ หรืออธิบายให้เห็นภาพเชิงลบของพฤติกรรมนี้
หนังสือชื่อดัง Gastrophysics: The New Science of Eating ของชาร์ลส์สเปนซ์ (Charles Spence) ได้อุทิศบทหนึ่งที่ชื่อ Social Dining เพื่ออภิปรายถึงปัญหาจากการกินอาหารคนเดียว ตั้งแต่การเลือกกินอาหารโดยไม่ใส่ใจถึงคุณค่าทางโภชนาการ การบริโภคต่อมื้อมากกว่าปกติ ตกอยู่ในภาวะอ้างว้างโดดเดี่ยว และอื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยจำนวนหนึ่งที่พยายามพิสูจน์ให้เห็นว่า การกินอาหารเพียงคนเดียวนั้นทำให้น้ำหนักตัวของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นราว 12% ในขณะที่การทานอาหารร่วมกันกับเพื่อนพ้องมิตรสหายทำให้เราทานในปริมาณที่เหมาะสมและทำให้อาหารมื้อนั้นอร่อยมากขึ้น
ถึงแม้ผู้เขียนจะค่อนข้างเห็นคล้อยกับสเปนซ์ในหลายๆ ประเด็น โดยเฉพาะแนวคิดที่ว่าการกินอาหารร่วมกันนั้นเป็นรากฐานของอารยธรรมของความเป็นมนุษย์ที่สะท้อนให้เห็นได้จากภาษา เรื่องเล่า และคติความเชื่อต่างๆ ที่ล้วนผูกโยงกับการกินอาหาร ซึ่งชัดเจนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา มนุษย์แทบทุกชนชาติทุกเผ่าพันธุ์ล้วนรับประทานอาหารร่วมกัน เหมือนดังรากศัพท์ของคำว่า company ที่มาจากคำละติน com (ร่วมกัน) + panis (ขนมปัง) ซึ่งแปลความตามตัวอักษรแล้วก็คือ ‘การกินขนมปัง’ ร่วมกัน แต่ถึงกระนั้น ผู้เขียนก็ยอมรับด้วยว่า การกินอาหารคนเดียวได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น จนดูเหมือนจะเป็นความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้สำหรับคนจำนวนมากบนโลกใบนี้
คำถามข้อหนึ่งที่เกิดติดตามมาก็คือ คนที่รับประทานอาหารคนเดียวโดยเฉพาะในสังคมที่การกินมีลักษณะรวมหมู่สูง เช่นประเทศในโลกตะวันออก หรือโดยเฉพาะสังคมจีนมีความรู้สึกเช่นไร หรือถึงที่สุดแล้วอะไรคือแรงจูงใจให้เขาออกไปนั่งรับประทานอาหารคนเดียวตามร้านรวงต่างๆ
Solo dining in Chinese Restaurant: A mixed-method study in Macao ของซูห์-ฮี ชอยและคณะ (Suh-hee Choi et al.) ดูจะมีส่วนช่วยตอบคำถามข้างต้นได้เป็นอย่างดี งานวิจัยชิ้นนี้ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างประชากรในกรุงมาเก๊าที่ออกไปใช้บริการร้านอาหาร หรือนั่งรับประทานอาหารคนเดียว แล้วพบว่ามีรูปแบบเฉพาะที่น่าสนใจ และมีรายละเอียดที่แตกต่างไปจากงานศึกษาที่ผ่านมา
ดังที่เราทราบกันดีว่า วัฒนธรรมการกินของชาวจีน (ทั้งในแผ่นดินใหญ่และภายในครอบครัวจีนโพ้นทะเล) ให้ความสำคัญกับ ‘การแบ่งปัน’ หรือ การใช้เวลาร่วมกันบนโต๊ะอาหารที่จะมีกับข้าว หรือ cai เป็นส่วนกลาง โดยสมาชิกแต่ละคนที่มีชามข้าวของตัวเองจะกินกับข้าวตรงกลางร่วมกัน
กับข้าวแต่ละจานในร้านอาหารจีนสะท้อนให้เห็นถึงคุณลักษณะของการเป็นอาหารจานกลาง ดังนั้นการสั่งอาหารที่แม้จะเป็นเพียงจานเล็ก แต่ก็มักจะใหญ่เกินกว่าจะรับประทานเพียงคนเดียว ในหลายครั้งการเข้าไปใช้บริการร้านอาหารจีนเพียงลำพังทำให้ลูกค้าไม่สามารถสั่งอาหารรับประทานได้มากเท่ากับรับประทานเป็นกลุ่ม
แต่ถึงกระนั้นผลสำรวจล่าสุดกลับพบว่ามีประชากรชาวจีนที่รับประทานอาหารคนเดียวกลับเพิ่มมากถึง 47% ซึ่งส่งผลให้ร้านอาหารจำนวนมากต้องปรับเปลี่ยนที่นั่งหรือแม้แต่ขนาดของจานอาหารให้สอดคล้องกับรูปแบบพฤติกรรมการทานอาหารที่เปลี่ยนไป
งานวิจัยของชอยและคณะยังได้ชี้ให้เราเห็นอีกด้วยว่า ความรู้สึกเชิงลบต่างๆ เช่น การตกเป็นเป้าสายตา ความรู้สึกโดดเดี่ยว และอึดอัดที่ต้องรับประทานอาหารคนเดียวของชาวจีนในมาเก๊านั้นไม่ได้มีนัยสำคัญมากนัก หรือมิได้เป็นไปในแบบที่งานวิจัยโดยส่วนใหญ่บ่งชี้ ด้วยเพราะคนจีนส่วนหนึ่งเริ่มเล็งเห็นว่า การกินอาหารคนเดียวเป็นทั้งความจำเป็น เป็นทั้งการแสดงให้เห็นถึงอิสระในการเลือก หรือกระทั่งความสะดวกสบาย
ความรู้สึกแปลกแยกและอึดอัด อาจเกิดขึ้นในครั้งแรกๆ เมื่อต้องไปรับประทานอาหารเพียงลำพัง ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในช่วงวัยรุ่นตอนต้นถึงตอนปลายจะเชื่อมต่อตัวเองเข้ากับโลกออนไลน์ หรือการแชตพูดคุยกับใครผ่านแอพพลิเคชั่นที่ทำให้ตัวเองไม่รู้สึกว่าเหมือนอยู่เพียงลำพัง ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุมากขึ้นอาจพูดคุยกับพนักงาน หรือแม้แต่ลูกค้าคนอื่นๆ ที่มาใช้บริการในร้าน
งานวิจัยของชอยและคณะที่ใช้ทั้งแบบสอบถามและการสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ได้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่เปลี่ยนไปของการออกมารับประทานอาหารคนเดียวในร้านอาหาร (ที่แต่เดิมอาจสงวนไว้สำหรับนักธุรกิจ ครอบครัว เพื่อนฝูง และแม้แต่คนรัก) ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา หรือเป็นหนทางที่ต้องเกิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในกรณีของผู้สูงวัย
การยอมรับและปรับตัวทั้งผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการกลายเป็นปรากฏการณ์สากล จนกระทั่งผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารจำนวนไม่น้อยเริ่มเห็นคล้อยว่าวัฒนธรรมการกินอาหารเพียงลำพังแบบญี่ปุ่นได้แพร่กระจายเข้าสู่สังคมจีนสมัยใหม่เป็นที่เรียบร้อย
โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนยังคงเชื่อมั่นว่า การกินอาหารเป็นห้วงเวลาแห่งการแบ่งปันสำหรับมนุษย์ เพียงแต่ในทุกวันนี้ เวลาดังกล่าวดูเหมือนจะหดสั้นลง จนเหมือนแทบไม่มีเหลืออยู่อีกแล้วสำหรับใครหลายคน
โลกกลายอาจเป็นสถานที่ที่ทำให้เราโดดเดี่ยวจากกันมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นเราก็ไม่อาจอยู่เพียงลำพัง เรายังคงโดดเดี่ยวอย่างเป็นสังคม และยังคงต้องหาทางเยียวยาความโดดเดี่ยวนั้นด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ซึ่งบางครั้งอาจคือ การนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน
อ้างอิง
Charles Spence, Gastrophysics: The New Science of Eating (New York: Penguin Random House, 2017).
Louis Marin, Food for Thought, translated by Mette Hjort (Baltimore: John Hopkins University Press, 1989).
Suh-Hee Choi et al. “Solo dining in Chinese restaurants: A mixed-method study in Macao.” International journal of hospitality management vol. 90 (2020).