เรื่องเล่าของตะเกียบ
“Another function of the two chopsticks together, that of pinching the fragment of food; to pinch, moreover, is too strong a word, too aggressive; for the foodstuff never undergoes a pressure greater than is precisely necessary to raise and carry it; in the gesture of chopsticks, further softened by their substance – wood or lacquer – there is something maternal, the same precisely measured care taken in moving a child: a force no longer a pulsion; here we have a whole demeanor with regard to food . . . the instrument never pierces, cuts, or slits, never wounds but only selects, turns, shifts.”
Roland Barthes, Empire of Signs
เมื่อต้นปี 2019 โฆษณาของ Dolce & Gabbana (ที่ออกฉายเมื่อปลายปี 2018) ได้กลายเป็นประเด็นอ่อนไหวขึ้นมาจากการที่ Zuo Ye นางแบบในโฆษณาชิ้นนี้ได้ใช้ ‘ตะเกียบ’ กินพิซซ่าด้วยท่าทางเงอะงะแลดูน่าขบขันจนผู้รับชมและรัฐบาลจีนเห็นต้องตรงกันว่าโฆษณาตัวนี้มีนัยยะของการเหยียดเชื้อชาติ (Racism) กระทั่งลุกลามบานปลายไปสู่การบอยคอทสินค้าภายใต้แบรนด์ D&G ในจีน
การกินอาหารชาติตะวันตกด้วย ‘ตะเกียบ’ ถูกมองว่าเป็นความไม่รู้ประสีประสาของคนกิน หรือไม่พยายามปรับตัวและเรียนรู้วัฒนธรรมของชาติอื่น ซึ่งให้บังเอิญว่าบุคคลนั้นเป็นคนจีนก็เลยทำให้การกินนี้ทำลายภาพลักษณ์ของความเป็นจีน
หากเราเปลี่ยนตัวนางแบบให้เป็นชนชาติอื่นๆ ที่ใช้ ‘ตะเกียบ’ เป็นอุปกรณ์พื้นฐานในชีวิตประจำวันอย่างญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม ความเหยียดชาติพันธุ์นี้ก็อาจไม่รุนแรงมากเท่า เพราะสำหรับชาวจีนแล้ว ‘ตะเกียบ’ หรือ 箸 เป็นมากกว่าอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารธรรมดาๆ เพราะมันเป็นผลิตผลทางวัฒนธรรมที่สามารถสืบย้อนไปไกลได้จนถึงยุคหินใหม่ (Neolithic) หรือช่วง 6600-5500 ก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว
จากเดิมเราเชื่อกันว่า ชาวจีนรู้จักการใช้ตะเกียบครั้งแรกในราชวงศ์ชาง (Shang dynasty) หรือในช่วง 1600-1046 ปีก่อนคริสตกาล เพียงแต่การค้นพบเครื่องมือทำจากกระดูกที่มณฑลเจียงซูได้สร้างสมมติฐานใหม่ขึ้นมา ว่าบรรพบุรุษของชาวจีนอาจรู้จักการใช้ตะเกียบมานานก่อนหน้านั้น
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 1993 กลุ่มนักโบราณคดีจากสถาบันโบราณคดีศึกษาแห่งบัณฑิตสภาสังคมศาสตร์ได้พบหลักฐานทางโบราณคดีสำคัญที่หลงกุยจวง (ปัจจุบันคือมณฑลเจียงซู) โดยคณะทำงานได้ขุดค้นลงไปพบเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งทำจากกระดูกกว่า 2,000 ชิ้น และหนึ่งในนั้นก็คือแท่งกระดูกที่มีความยาว 9.2-18.5 เซนติเมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.3-0.9 เซนติเมตร ตรงกลางมีเส้นรอบวงที่หนา ปลายข้างหนึ่งเป็นเหลี่ยม ปลายข้างหนึ่งแหลม แลดูคล้ายคลึงกับตะเกียบที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
แน่นอนว่านักโบราณคดีส่วนหนึ่งเชื่อว่ามันอาจเป็น ‘ปิ่นปักผม’ มากกว่าจะเป็น ‘ตะเกียบ’ อย่างไรก็ตาม Liu Yun บรรณาธิการ หนังสือ A History of Chopsticks Culture in China กลับเห็นว่า แท่งกระดูกนี้น่าจะเป็นตะเกียบ ด้วยเหตุผลว่า แท่งวัตถุที่พบใกล้กับกะโหลกจะมีขนาดยาวสั้นแตกต่างกันไป ส่วนชิ้นที่ตกอยู่ข้างๆ หรือรอบๆ โครงกระดูกส่วนลำตัวจะมีขนาดเท่าๆ กัน และมักจะพบเป็นคู่ ซึ่งพอทำให้อนุมานได้ว่ากระดูกชนิดนี้อาจเป็นเครื่องมือมากกว่าเป็นเครื่องประดับ
สิ่งหนึ่งที่นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์น่าจะเห็นพ้องต้องกันก็คือแรกเริ่มนั้น ‘ตะเกียบ’ ไม่ได้เป็นเครื่องที่ ‘ใช้กิน’ แต่เป็นอุปกรณ์ ‘ใช้ทำ’ หรือ ‘ตระเตรียม’ อาหาร
การใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลัง และอาจเป็นรัชสมัยสุดท้ายของราชวงศ์ชาง ซึ่งกล่าวกันว่า ฉูฮ่องเต้ (King Zhou) เป็นผู้หนึ่งที่นิยมใช้ตะเกียบทำจากงาช้าคีบอาหารเข้าปาก ดังที่หานเฟยซี (Han Feizi) ปราชญ์ชาวจีนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วง 300 ปีก่อนคริสตกาลได้บันทึกเอาไว้ว่า
“ฉูฮ่องเต้ผู้ชรารับสั่งให้สร้างตะเกียบจากงาช้าง อุปราชจี้เกิดประหวั่นด้วยความคิดว่า ‘งาช้างนั้นมิควรจะใช้กับเครื่องถ้วยดินเผา แต่ควรจะเป็นเครื่องถ้วยหยกหรือทำจากนอแรด แต่ถึงอย่างนั้นเครื่องถ้วยหยกและตะเกียบงาช้างย่อมไม่เข้ากับโจ๊กที่ทำจากถั่วหรือผักใบเขียว แต่ควรจะเป็นเนื้อสัตว์จำพวกควายขนยาวและลูกเสือดาวในครรภ์ แต่อีกนั่นแหละการกินเนื้อควายขนยาวและลูกเสือดาวนั้น ก็ไม่ควรกินในฉลองพระองค์ที่ทำจากใยปอและตำหนักที่มีมุงหลังคาด้วยแฝก แต่ควรจะเป็นในฉลองพระองค์ปักดิ้นเก้าชั้นและย้ายไปในพระราชวังที่วิจิตรงดงามบนพื้นระเบียงที่กว้างใหญ่ไพศาล ด้วยเพราะกลัวในตอนจบ ข้าพระองค์จึงไม่อาจหักห้ามอาการสั่นจากความหวั่นหวาดในตอนเริ่ม’
“ภายหลังจากนั้นเพียงห้าปี ฉูฮ่องเตได้รับสั่งให้หาเนื้อทั้งหลายมาวางเรียงรายในรูปของสวนดอกไม้ ตั้งเสาไฟสำหรับย่าง เนรมิตรสารพัดเตากลั่นเหล้า ทอดพระเนตรไปยังสระน้ำที่ทำจากเหล้าองุ่น นี่คือวาระสุดท้ายของพระองค์ จากตะเกียบงาช้าง อุปราชจี้แลเห็นถึงหายนะที่ถูกลิขิตไว้ในกาลข้างหน้า เขาจึงกล่าวขึ้นว่า ‘ผู้ใดสามารถแลเห็นสิ่งที่เล็กที่สุด ผู้นั้นย่อมค้นพบการหยั่งรู้’”
เราอาจตีความเสี้ยวหนึ่งของตำนานนี้ได้ว่า ตะเกียบงาช้างนั้นอาจหมายถึงความหรูหราและฟุ่มเฟือยอย่างถึงที่สุด และในมุมมองของหานเฟยซีนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของจุดจบของราชวงศ์ชาง ซึ่งเป็นห้วงเวลาเดียวกับที่การกินอาหารด้วยตะเกียบเริ่มแพร่หลายไปสู่คนธรรมดาสามัญเป็นครั้งแรกๆ
อ้างอิง
Q. Edward Yang, Chopsticks: A Cultural and Culinary History, (Cambridge: Cambridge University Press, 2015)