ตำราว่าด้วยการดื่มชาเล่มแรกของโลก
ค่ำคืนหนึ่งในฤดูหนาว
ตู้เสี่ยวชาน
มิตรสหายแวะเวียนมา
เรามิได้ร่ำสุราหากเป็นชา
กาต้มน้ำขู่ฟ่อ
ถ่านคุโชน
เบื้องนอกแสงดวงจันทร์ส่องกระจ่าง
แค่พระจันทร์ธรรมดา
แต่ดูดอกท้อนั่นสิ!
ชานั้นเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมอันดับสอง เป็นรองมาจากน้ำเปล่า การดื่มชามีหลากหลาย ตั้งแต่เสิร์ฟในถ้วยใบเล็กแบบจีน ถูกตีด้วยแปรงชงชาไม้ไผ่ (Chasen) จนเป็นฟอง เติมนม น้ำตาล ผสมกระวาน หรือใบสะระแหน่ ใส่น้ำแข็งหรือผลไม้สด ฯลฯ ในแต่ละที่ดูเหมือนจะมีวิธีการดื่มชาที่พัฒนาขึ้นในแบบของตนเอง จนมาล่าสุดก็คือชานมไข่มุก (Boba Tea) ซึ่งได้รับความแพร่หลายไปทั่วโลก
ก่อนที่ชาจะกลายเป็นเครื่องดื่มที่เรารู้จักกันเช่นทุกวันนี้ ในมณฑลเสฉวน (Sichuan) ในช่วง 100 ปีก่อนคริสตกาล เริ่มมีการนำเอาใบชามาใส่ในน้ำร้อน และเรียกกันว่า kia หรือ k’u t’u และเริ่มปรากฏคำนี้ในพจนานุกรมจีน Erh-Ya (爾雅)ที่ได้รับการจัดทำขึ้น 350 ปีแรกของคริสตกาล โดยปราชญ์ผู้มีนามว่า Guo Pu (郭璞)
ในตอนนั้น วิธีดื่มชาตามที่ได้รับการบันทึกไว้ใน Guangya (廣雅) ที่จัดทำขึ้นสมัยราชวงศ์เว่ย (220-266) ยังคงผสมหัวหอม ขิง ผิวส้ม และแม้แต่เกลือลงไปเพื่อเพิ่มเติมรสชาติและกลิ่น แน่นอนว่า การดื่มชาในเวลานั้นยังคงผูกพันกับความเป็นยามากกว่าจะเป็นเครื่องดื่มเพื่อความผ่อนคลาย โดยสรรพคุณที่เชื่อกัน ณ เวลานั้นก็คือแก้อาการท้องเดิน อาการเซื่องซึมเฉื่อยชา และแม้แต่ปัญหาทางด้านการมองเห็น
ในช่วงศตวรรษที่ 5 ชาในแบบอัดแท่ง หรือก้อนชา (brick tea) จึงถูกส่งออกและกลายเป็นสินค้ายอดนิยมของบรรดาพ่อค้าชาวตุรกีและมองโกล
การเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวใบชาได้รับการปรับปรุงและพัฒนาขึ้นพร้อมๆ กับที่ชาได้กลายเป็นเครื่องดื่มในแวดวลงขุนนาง นักปราชญ์ ราชบัณฑิต และนักบวช ด้วยสรรพคุณที่ทำให้กระปรี้กระเปร่าสามารถอ่าน เขียน หรือประกอบกิจกรรมต่างๆ ระหว่างวันได้โดยไม่รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง จนล่วงมาสู่ศตวรรษที่ 8 ชาที่ถูกส่งออกไปในหลายที่ทั่วโลก ตั้งแต่หมู่เกาะญี่ปุ่นจนไปถึงพม่า
วัฒนธรรมการดื่มชาถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรกในตำรา Ch’a Ching (The Classic of Tea) ของ Lu Yu (陆羽) ปราชญ์ที่วัยเด็กได้รับชุบเลี้ยงดูแลโดยพระสงฆ์จนทำให้เขาได้เรียนรู้การเขียน อ่าน และวัฒนธรรมการดื่มชา
เขามีโอกาสเดินทางไปที่หูเมิ่น (Houmen) เพื่อร่ำเรียนวิธีปลูกและบ่มชาจากอาจารย์ Zou Fuzi และตลอดระยะเวลาหกปีที่เขาอยู่ที่นั่นเขาก็ได้เขียน Ch’a Ching หนังสือที่ว่าศาสตร์และศิลป์แห่งการดื่มชา ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับชา พื้นที่เพาะปลูก ไปจนถึงการจัดเตรียมอุปกรณ์ อุณหภูมิน้ำที่เหมาะสม และธรรมเนียมวิธีต่างๆ ซึ่งหลายอย่างได้กลายมาเป็นแม่แบบของวัฒนธรรมการดื่มชาในปัจจุบัน
สำหรับ Lu Yuแล้วการดื่มชานั้นเป็นมากกว่ากิจกรรมทางวัฒนธรรม หรือการพักผ่อนหย่อนใจธรรมดาๆ ด้วยเพราะเขาเชื่อว่า ชา คือหนทางแห่งความเข้าใจในสัจธรรม อันช่วยให้เราสามารถดำรงอยู่อย่างสอดประสานกับธรรมชาติ ดังที่เขาได้รจนาเอาไว้ว่า
แก้วแรกประโลมริมฝีปากและลำคออันแห้งผาก
แก้วที่สองทลายกำแพงแห่งความโดดเดี่ยวเศร้าสร้อย
แก้วที่สามเสาะหาธารน้ำเหือดแห้งในจิตวิญญาณเพื่อค้นพบเรื่องราวที่บอกเล่ายาวกว่าห้าพันม้วนคัมภีร์
แก้วที่สี่ความเจ็บปวดจากความอยุติธรรมระเหิดหายจากรูขุมขน
แก้วที่ห้าชำระล้างเลือดเนื้อและกระดูก
แก้วที่หกสัมผัสกับความอมตะ
แก้วที่เจ็ดหยิบยื่นความสุขล้นเหลือทน
สายลมกระพือพัดให้ข้า
ลอยล่องไปยังผาสวรรค์เผิงไหล
อ้างอิง
Lu Yü, The Classic of Tea: Origins & Rituals, (New York: Ecco Press, 1995).
Helen Saberi, Tea A Global History, (London: Reaktions Books, 2010).